เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๖ ก.พ. ๒๕๔๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วันสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

โทษ หย่อนโทษ ศาลตัดสินแล้วนะ เวลาทำความผิด ศาลตัดสินแล้วยังมีการลดโทษผ่อนโทษ แต่กรรมมันให้ผลเต็มที่ กรรมนี้ไม่มีการลดโทษผ่อนโทษ แต่เป็นกรรมดีและกรรมชั่ว กรรมดีสามารถไปเจือจางความชั่วนั้นได้ คนเราไม่เคยทำความดีและความชั่วโดยฝ่ายเดียว มันทำคุณงามความดีก็เคยทำ ความผิดพลาดก็เคยทำ แต่ถ้าเราทำคุณงามความดีขึ้นมา เห็นไหม เหมือนกับเราทำความดีหนีไปเรื่อยๆ

ดูอย่างพระโมคคัลลานะ เห็นไหม เป็นพระอรหันต์แล้วแต่เคยทำความผิดพลาดไว้ เวลาที่ว่าเขามาทวงกรรม นี่มันทำได้ กรรมนี้มันตามได้แต่ร่างกาย แต่หัวใจของพระโมคคัลลานะนั้นเป็นพระอรหันต์แล้ว ตามไม่ถึง ตามเข้าไปไม่ได้ นี่กรรมตามมาอย่างนั้น แต่คุณงามความดีทำจนถึงสิ้นเข้าไปเป็นพระอรหันต์ขึ้นไปแล้ว แต่กรรมก็ยังตามมา ตามมาชาติสุดท้าย ชาติสุดท้ายแล้วจะไม่เกิดอีก จะไม่มีสิ่งที่ว่าเป็นเป้าให้เขายิงเป้านั้นหรือทำลายเป้าหมายนั้น จะไม่มีเป้าหมายนั้น นี่กรรมให้ผลให้ผลอย่างนั้น

กรรมทำบุญกุศล ทำคุณงามความดีเห็นไหม จากบุญกุศลหยาบๆ ไปนี่ เราสร้างสมของเราไปเรื่อย สร้างสมบุญกุศลของเราเรื่อยขึ้นไปนี่ หัวใจมันจะเปิดไปเรื่อย หัวใจมันจะเปิดไป ถ้าเราสร้างคุณงามความดีไปเรื่อยๆ มันจะหนีจากความเป็นบาปอกุศลไปได้ ถ้าเราไม่ทำแล้วนี่ สิ่งที่มันเป็นอวิชชาคือความเคยใจ มันอยากมีความสะดวกสบาย มันอยากมีความคิดของมัน มันไม่ต้องการทำสิ่งใด แต่มันต้องการหวังผลของมันตลอดไป แล้วมันจะหวังผลไม่ได้ผล

อย่างการทอดอาลัยตายอยาก เห็นไหม ในชีวิตเรานี่ วันเวลาล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่ ถ้าเราพยายามขวนขวายทำคุณงามความดีของเรา เราประกอบสัมมาอาชีวะ เราต้องทำ สัมมาอาชีวะเป็นหน้าที่ของเรา หน้าที่ในการมีปากมีท้องนี่มันเป็นหน้าที่ เห็นไหม แต่ประกอบสัมมาอาชีวะด้วยความถูกต้อง มันจะลำบากอัตคัดขัดสนขนาดไหน ทนเอา ความทนไปต่อชีวิตเราเห็นไหม ทนในคุณงามความดีเพราะอะไร เพราะมันมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว การทำความชั่ว การทำความผิดพลาดไป มันยับยั้งไม่ได้เพราะความเคยใจ

อวิชชาในหัวใจนี่ถึงเวลาแล้วมันผลักไส มันต้องการความสะดวก มันต้องการความสบาย มันต้องการความผ่อนหนักเป็นเบา เห็นไหม แล้วไม่เห็นว่ามันเป็นคุณหรือเป็นโทษ มันทำไปอันนี้มันถึงว่ามันฝังอยู่ในหัวใจของสัตว์โลก อวิชชานี่มันอยู่ในหัวใจ แล้วมันขับไสไม่ให้เราสมความปรารถนา ไม่ให้เราทำสมเป็นความดีของเรา ถ้าความดีของเรา เราทำคุณงามความดีของเรา มันต้องฝืนตัวนี้ไง มันยากมันยากตรงนี้ ยากตรงที่ว่ามันเกิดมานี่มันก็ไม่รู้ต้นรู้ปลาย แล้วมันจะไปอีกมันก็ไม่รู้ต้นรู้ปลาย แต่มันพยายามผลักไสให้เราหวังข้างหน้าไป หวังแต่ไม่สมหวังของเรานี่ หวังโดยกิเลสหวังแล้วไม่สมหวัง ความหวังของกิเลสหวังลมๆ แล้งๆ แต่หวังในธรรม หวังในคุณงามความดี มันหวังแล้วมีการกระทำใช่ไหม

การกระทำคือกรรมใช่ไหม กรรมนี่เวลามันให้ผล มันให้ผลในอะไร เราทำคุณงามความดีต้องให้ผลเป็นความดี ความดีในหัวใจของเรา ความดีเกิดขึ้นจากเริ่มจาคะ เริ่มสละออกไป มันเป็นการต่อสู้กับความตระหนี่ถี่เหนียวในหัวใจ ความเห็นแก่ตัวในหัวใจนี่ ความเห็นแก่เราเห็นไหม ถ้าเรายึดในหัวใจแล้วเราจะฝืนของเรา แต่ความเข้าไปกำจัดมันเห็นไหม ด้วยความสละจาคะออกไปจากใจ ให้ฝึกใจไว้ขนาดนั้น แล้วฝึกออกไป ทำคุณงามความดีของเรา ทำความสงบของมันนี่ มันสงบตัวลงเห็นไหม

เวลาเราสละจาคะออกไปนี่ มันต้องให้ผลออกไปเป็นทาน แล้วมันถึงจะเป็นผลในหัวใจ แต่ถ้าว่าเราไม่มีความสามารถ เราไม่มีวัตถุที่จะทำอย่างนั้นได้ อนุโมทนาทานก็ได้ เราอนุโมทนาคุณงามความดีไปกับเขา เราเห็นเขาทำคุณงามความดีไปกับเขา เราทำอย่างนั้นไปนี่มันไม่เห็นด้วยเห็นไหม มันไม่เห็นด้วย มันคิดว่าให้ไปเพื่ออะไร ความตระหนี่ของใจมันคิดของใจแล้ว บุคคลอื่นให้มันก็ยังไม่เห็นด้วยกับเขา มันถึงอนุโมทนาไปกับเขาไม่ได้ไง ความเห็นชอบไปกับเขาไปไม่ได้ แล้วจะทำความสงบของมัน

ถ้ามันไม่มีวัตถุทาน เราทำความสงบของใจก็ได้ ศีล สมาธิ ปัญญา ความเข้ามา ความกำจัดถึงสิ้นกิเลสไปในหัวใจ มันต้องมากำจัดกันที่หัวใจของเรา ความคิดของเรานี่มันให้โทษกับเราเอง ถ้าคิดถึงความผิดพลาด ถ้าคิดคุณงามความดีให้คุณกับเราเห็นไหม แต่คิดให้คุณกับเรานี่ มันจะให้ผลขนาดไหน มันคิดบ่อยไหม แต่ความคิดของเราคิดความสะดวกสบายนี่ มันคิดไปตามประสามัน มันถึงต้องมีศีลเข้ามา เห็นไหม ไม่ทำความผิดพลาดในศีล ๕ ไม่เบียดเบียนเขา แล้วก็ต้องเบียดเบียนกิเลส เห็นไหม ไม่เบียดเบียนเขานี่ ก้อนหินหรือวัตถุต่างๆ นี่มันก็ไม่เบียดเบียนใคร มันก็มีความของมันขนาดนั้น

นี่ใจก็เหมือนกัน ถ้าเรามีศีลแล้วเราต้องประพฤติปฏิบัติธรรมด้วย ถ้ามีธรรมขึ้นมาในหัวใจเห็นไหม ไม่เบียดเบียนเขา มีความเมตตาเขา ให้ความสุขกับเขา ความสุขกับเขาเป็นอย่างไร เขาได้ความสุขจากเราไป มันจะมีความสุขนะ อย่างเด็กๆ นี่ ดูตาสิ เวลาได้สิ่งใดไปนี่มันจะมีความสุขใจ เราเห็นสิ่งนั้นน่ะ มันออกมาจากสายตานะ ออกมาจากความคิดเห็นจากภายใน ความสุขออกมาจากใจ แล้วใจของเรามันมีความทุกข์เห็นไหม ความทุกข์คือว่าความดีดดิ้นของมันเราควบคุมมันไม่ได้

กำหนดพุทโธขึ้นมานี่อาหารของใจ ถ้าใจมีอาหารของมันแล้วมันจะสงบตัวลงได้ ถ้าในใจไม่มีอาหารของมัน มันจะไม่ยอมสงบตัวลง แล้วมันจะเป็นโทษกับมันไป ความเห็นของใจเราเห็นไหม ถ้าเราไม่มีวัตถุสิ่งของที่เราจะจาคะได้ เราก็ทำความสงบของใจของเรา บุญกุศลเกิดจากตรงนี้ไง อยู่ที่ไหนก็ทำได้นะ ไม่จำเป็นว่าเราประพฤติปฏิบัติธรรมต้องนั่งสมาธิถึงเป็นการปฏิบัติธรรม ถ้าเราเคลื่อนไหวไปนี่ เรากำหนดใจของเราตลอดไป ใจของเราเราดูใจของเราไป ที่ไหนเราก็กำหนดได้

ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก หลวงปู่ฝั้นบอกไง ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกนี่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก แต่เราหายใจทิ้งเปล่าๆ เราหายใจเพื่อดำรงชีวิตอยู่เฉยๆ ชีวิตนี้มีการหายใจเข้าและหายใจออก ชีวิตนี้สืบต่อไป ถ้าชีวิตนี้ไม่มีการหายใจเข้าหายใจออก มันก็ต้องตายไปใช่ไหม แล้วเราก็หายใจเข้าหายใจออกเพื่อดำรงชีวิต แต่มันทิ้งไปเปล่าๆ ทิ้งภพชาติไปเปล่าๆ การหายใจเข้านึกพุท การหายใจออกนึกโธ นี่ความสติสัมปชัญญะอยู่ ถ้ามีสติอยู่นี่ใจมันอยู่กับเรา ถ้าเราไม่มีสติอยู่นี่ ใจไม่อยู่กับเรา เรามีแต่คนบ้านร้างเห็นไหม ความคิดสติสัมปชัญญะเราอยู่ข้างนอก ความคิดส่งออกไปข้างนอก คิดแต่เรื่องอื่น ไม่คิดถึงเรื่องตัวของเราเองเลย

ถ้ามีสติสัมปชัญญะอยู่นี่ ใจอยู่ในร่างกายของเรา แล้วให้มันสืบต่อไป หายใจเข้าหายใจออกไม่ทิ้งเปล่าๆ ไม่ทิ้งเปล่าๆ เพราะมันมีความรู้สึกอยู่ นึกพุท นึกโธนี่นึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสดานะมีความเมตตาสั่งสอนมาก พ่อแม่ครูจารย์ พ่อแม่ของเราก็เลี้ยงแต่ร่างกาย เลี้ยงหัวใจเราไม่ได้ แต่ครูบาอาจารย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เลี้ยงหัวใจของสัตว์โลก ท่านทำใจของท่านไปได้ก่อน ถึงเห็นวิธีการที่จะทำใจของท่านผ่านพ้นไปได้ แล้ววางหลักการอันนั้นไว้ได้

พ่อแม่ครูจารย์คิดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดถึงพุทโธนี่มันสะเทือนถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สะเทือนถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วสะเทือนถึงใจเรา เพราะใจของเรา พุทโธมันอยู่ในหัวใจของเรา ธาตุรู้อยู่ในใจของเรา ถ้าคิดถึงธาตุรู้ได้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างๆ ตรัสรู้ธรรมก็ธรรมอันเดียวกัน ถ้าเราเห็นธรรมเราก็เห็นธรรมอันเดียวกัน แล้วมันเป็นพยานกันได้ เห็นความเป็นจริงได้ นี่ภาชนะใส่ธรรมไง ภาชนะที่ใส่อาหารมาเห็นไหม เราต้องมีภาชนะเราถึงใส่อาหารมาได้ แต่นี้เราไม่มีพื้นฐาน เราไม่ปรับใจของเรา เราไม่มีพุทโธในหัวใจ เราไม่หาภาชนะของเราใส่ธรรม หาภาชนะของเราคือความสงบของใจ แล้วมันพอที่จะใส่ธรรมได้

ใส่ธรรมเห็นไหม ความคิดความนึกขึ้นมานี่ มันจะเป็นประโยชน์ ถ้าไม่มีความคิดความนึกขึ้นมานี่ เมื่อก่อนมันคิดเปล่าๆ คิดไปเปล่าๆ คิดประสาสัญญาเห็นไหม คิดนึกอยู่ในหัวใจของเราแล้วมันก็หายไป ไม่มีภาชนะใส่ แต่มีสัมมาสมาธิ มีจิตตั้งมั่นอยู่ เวลานึกคิดสิ่งใดต่างๆ มันมีภาชนะสิ่งนี้รองรับอยู่ รองรับความคิดความนึกของเรา ความคิดความนึกของเรา คิดขึ้นมาแล้วมันสะสมขึ้นมาๆ มันจะละเอียดเข้าไปไง

ความละเอียดเข้าไปคือใจมันคิดต่างๆ คิดที่ว่ามันละเอียดขึ้นไปแล้วมันซับซ้อน มันพัฒนาขึ้นไป มันมีฐานที่มั่น มีภพของใจ มีภาชนะที่ใส่ไว้ เห็นไหม สัมมาสมาธิถึงสำคัญ ถ้าไม่มีสัมมาสมาธิ ไม่มีภาชนะ ภาชนะนี้มีอยู่ แต่เราหาไม่เป็นไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม เห็นไหม ถ้าใครฟังธรรมแล้วเข้าใจเปรียบเหมือนการหงายภาชนะที่คว่ำอยู่ให้หงายขึ้นมา เห็นไหม เราปิดนี่กิเลสมันปิดหัวใจ มันคิดของมันเอง มันเป็นอิสระของมัน มันคิดของมันอยู่ขนาดไหน มันคว่ำภาชนะไว้ไม่ให้หงายขึ้นมารับธรรม

ถ้าเรามีสัมมาสมาธิขึ้นมานี่ เราสัมผัสธรรมขึ้นมาในหัวใจนี่เราหงายภาชนะขึ้นมาเห็นไหม แล้วรับธรรมความคิดของเรานี่ ความคิดต่างๆ ที่มันคิดขึ้นมานี่มันเปรียบเทียบได้ มันสะสมได้แล้วคิดดีคิดชั่วมันจะเปรียบเทียบเข้ามา แล้วมันจะแยกแยะออกไป ความแยกแยะออกไปอันนั้นเป็นบาปอกุศลไม่ทำ มีสติสัมปชัญญะไม่ทำสิ่งนั้นได้

แต่ก่อนไม่ได้นะ มันคิดมันนึกแล้วมันอยากทำ มันเป็นไปตลอดไปของมัน ถ้ามีสติ มีสัมปชัญญะยับยั้งสิ่งนั้นได้ เห็นไหม มันจะยับยั้งสิ่งที่ไม่ทำ สิ่งที่เป็นความชั่วมันจะพยายามไม่ทำ ฝืนทำนี่ กรรมให้ผลเต็มที่นะ สัตว์โลกเกิดมาตามกรรม เราสร้างกรรมขึ้นมาแล้วถึงเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดเป็นต่างๆ แล้วเกิดมาแล้วก็ไม่สมความปรารถนาของเรา เห็นไหม สมความปรารถนาผู้ที่มีบุญกุศลจะสมความปรารถนาของเขา จิตใจของเขาจะสืบต่อไป จะเจริญงอกงามขึ้นไปในความเห็นของเขา

แต่ทำไมเราคิดอย่างนั้นไม่ได้ ทำไมเราทำอย่างนั้นไม่ได้เห็นไหม นี่อกุศลในหัวใจของเรามันปิดกั้นใจของเราไม่ให้เดินตามนั้นนะ ไม่ให้เดินตามธรรม เราต้องพยายามย้อนกลับมาดูใจของเรา นี่กรรมเราทำอย่างนั้น ศาลสถิตยุติธรรมตัดสินทางโลกนี่มันยังตัดสินไป แล้วแต่ตัดสินผิดก็ได้ แล้วแต่กรณีของหลักฐาน เห็นไหม หลักฐานสิ่งที่ปลอมสร้างได้ นั่นเป็นสมมุติ สมมุติในการกระทำของศาลของเขาเป็นอย่างนั้นไป

แต่กรรมนี้มันทำกับใจ ใจเป็นคนทำนะ เวลาเราคิด เห็นไหม ผู้ที่ไม่รู้ธรรมเลย เห็นถ่านแดงๆ นี่ กำถ่านแดงๆ เข้าไป กำเต็มมือเลยนี่ คนที่ไม่เข้าใจหลักธรรมนี่คิดว่ากรรมไม่มี ทำตามความเห็นของตัวนี่ มันกอดกับถ่านก้อนแดงๆ นี่ เวลามันเผาร้อนขึ้นมามันจะให้ความร้อน แต่มันยังไม่ให้ผล มันยังไม่เข้าใจ เห็นไหม มันเผาความร้อน แต่คนที่รู้หลักธรรม รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นความชั่วไม่ยอมทำ สิ่งนั้นเป็นคุณงามความดีทำนี่ มันทำขึ้นมานี่มันทำแบบว่ามันทำรู้หลักการ รู้ว่ามันจำเป็นขึ้นมานี่ มันต้องทำไป มันจะปล่อย มันไม่ทำเต็มความสามารถ ถึงว่าจำเป็นจะต้องรักษาชีวิตไว้เพื่อจะประพฤติปฏิบัติธรรม มันก็ดำรงชีวิตของเราตลอดไป ดำรงชีวิตไว้เพื่อจะปฏิบัติธรรมต่อไป เห็นไหม ธรรมพอผ่านพ้นออกไป สิ่งนั้นมันเป็นเรื่องความเข้าใจ ปัญญานี่มันเป็นความที่ว่าเราจะพยายามของเราออกไปขนาดไหน ทำใจของเราไง ทำความเห็นของเราให้ถูกต้อง มีภาชนะขึ้นมาแล้วเราต้องใส่ของเราให้ได้ ถ้าไม่มีภาชนะของเรา เราก็หาภาชนะของเราให้ได้

นี่ความสงบของใจ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลคือความปกติของใจ สมาธิคือใจตั้งมั่น ปัญญาคือการใคร่ครวญใจตัวนั้นให้พัฒนาขึ้นมา มันจะเป็นใจของเราขึ้นมา เจริญขึ้นมาอยู่ในใจของเรา แล้วตัวนี้มันตัวพาเกิดพาตาย ไม่เคยตาย ใจไม่เคยตายนะ อยู่ในหัวใจของเรานี่ไม่เคยตาย เวลาเราสิ้นชีวิตไปนี่ มันสิ้นชีวิตเพราะร่างกายนี้จิตออกจากร่างไป แล้วมันไปเกิดใหม่ เอาความดีอันนี้ไปเกิดใหม่ ไปทำความเห็นของมันเป็นความเห็นใหม่ของมัน มันจะเป็นประโยชน์กับมัน เป็นประโยชน์กับหัวใจที่เราจะไปเกิดใหม่ มันถึงเป็นสมบัติที่ว่าติดตัวเราไปไง สมบัติโลกนี้ผลัดกันชม ทิ้งไว้ในโลกนี้ สมบัติคุณงามความดีนี่ ความชั่วก็ติดใจไป ความดีก็ติดใจไป กรรมก็ติดใจของเราไป ถึงเราพยายามทำคุณงามความดี กรรมของเราเป็นสมบัติของเราโดยความเป็นจริง เอวัง